Sale ลดราคา May Sale
5-7 พ.ค. เท่านั้น
Table of Contents
แพ็คเกจสมาชิกการเรียนที่คุ้มค่าที่สุด
ชั่วโมงปรึกษา 6-8 ชม/วัน
ตรวจทุกการบ้านและโปรเจ็กต์
เข้าร่วมอีเวนท์ทุกสัปดาห์
รับบริการสนับสนุนอาชีพ
เรียนพร้อมกับ Job Guarantee
เริ่มเรียนฟรี

คู่มือเปลี่ยนสายงาน Software Developer

ซอฟต์แวร์เอ็นจิเนียริ่ง (Software Engineering) เป็นการพัฒนาและออกแบบซอฟต์แวร์โดยใช้วิธีการและกระบวนการทางวิศวกรรม เน้นไปที่การใช้งานและความต้องการของผู้ใช้ โดยมีการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพสูงสุด

ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ เริ่มต้นด้วยการวางแผนซอฟต์แวร์ที่มีการวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้และการออกแบบโครงสร้างและฟังก์ชันของซอฟต์แวร์ให้เหมาะสม จากนั้นมีขั้นตอนการเขียนโค้ด ที่ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีและภาษาโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพและใช้งานได้ตามความต้องการ หลังจากนั้นจะมีการทดสอบซอฟต์แวร์เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและประสิทธิภาพของโปรแกรม และในขั้นตอนสุดท้ายคือการปรับปรุงและการบำรุงรักษาซอฟต์แวร์เพื่อให้มีประสิทธิภาพในระยะยาว

  • การวางแผน (Planning)
  • การวิเคราะห์ความต้องการ (Requirements Analysis)
  • การออกแบบ (Design)
  • การพัฒนา (Development)
  • การทดสอบ (Testing)
  • การปรับปรุง (Maintenance)

นักพัฒนาซอฟต์แวร์จำเป็นต้องมีความรู้ทางเทคนิคและทักษะในการเขียนโค้ด การทดสอบ และการแก้ไขปัญหา โดยไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโปรแกรมเพื่อแอปพลิเคชันมือถือ ซอฟต์แวร์เพื่อการค้าออนไลน์ หรือการทำงานในภาคธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) นอกจากนี้ ยังต้องมีความสามารถในการทำงานร่วมกับทีม การสื่อสาร และการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่เพื่อปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ยังต้องมีความสามารถในการทำงานร่วมกับทีมและการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ที่เร็วกว่าเดิม

การเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถเป็นอาชีพที่มีอนาคตสูงและมีโอกาสทำงานในหลากหลายภาคสาขา เช่น พัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อการค้าออนไลน์ หรือการทำงานในภาคธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) อีกด้วย โดยมีความต้องการจากตลาดงานที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่องในยุคปัจจุบันและอนาคต

อยากเป็น Software Engineer?
เปลี่ยนอาชีพของคุณวันนี้ หางานสาย Software Engineer ภายใน 6 เดือนหรือ รับเงินคืนเต็มจำนวน
เริ่มเรียนฟรี

ทําไม WeStride แนะนําให้เรียน Web Development

WeStride แนะนำให้เรียน Web Development กับเราเนื่องจากเป็นหนึ่งในสายงานที่มีอนาคตที่ไกลและมีโอกาสที่ดีในการงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและดิจิทัลในปัจจุบันและอนาคต! นักพัฒนาเว็บมีบทบาทสำคัญในการสร้างและพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารและการธุรกิจในยุคดิจิทัลปัจจุบัน

การพัฒนาซอฟต์แวร์มีความต้องการในตลาดอย่างมาก โดยบริษัทและองค์กรต่าง ๆ ต้องการนักพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชัน โปรแกรม และระบบต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและก้าวไปสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มประสิทธิภาพ

การทำงานในสายงานนี้จะทำให้คุณได้รับการตอบรับที่ดีทันทีเมื่อคุณสามารถเขียนโค้ดและเห็นผลลัพธ์ของงานที่คุณทำได้ทันที ซึ่งจะช่วยเรียนรู้และปรับปรุงทักษะของคุณอย่างรวดเร็ว โดยมักจะมีโอกาสที่มากมายในการได้งานเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ เนื่องจากความต้องการในตลาดสูงและการเข้าถึงงานที่สะดวกมากขึ้น อีกทั้งการมีความสามารถในการเขียนโค้ดยังเป็นปัจจัยที่สำคัญในการได้งานในสายงานนี้

นอกจากนี้ เรายังสอนทั้งส่วนของการพัฒนา Back end และ Front end ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาและออกแบบเว็บแอปพลิเคชันและโปรแกรมต่าง ๆ พร้อมกับการสอนให้คุณเข้าใจและประยุกต์ใช้โลจิกเกี่ยวกับการเขียนโค้ดอย่างเหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาโปรแกรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋า เราพร้อมที่จะช่วยให้คุณพร้อมสำหรับการเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นเลิศ

  • นักพัฒนาซอฟต์แวร์มีความต้องการในตลาดอย่างมาก โดย
  • การมีความสามารถในการเขียนโค้ดยังเป็นปัจจัยที่สามารถเพิ่มโอกาสได้งานเพิ่มขึ้น
  • นักพัฒนาเว็บมีบทบาทสำคัญในการสร้างและพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันออนไลน์ต่างๆ

เราควรจะเริ่มเรียนภาษาโปรแกรมมิ่งตัวไหน

เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับการเริ่มเรียนภาษาโปรแกรมนั้น คุณควรพิจารณา Pro และ Con ของแต่ละภาษาเพื่อให้เลือกภาษาที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความต้องการของคุณ เพราะภาษาโปรแกรมแต่ละภาษามีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันไป

การแบ่งภาษาโปรแกรมออกเป็น High Level และ Low Level เป็นการมองตัวภาษาโปรแกรมโดยรวม ซึ่ง High Level Language มักจะมีระดับความยากในการเรียนต่ำกว่า Low Level Language โดย High Level มักเป็นภาษาที่มีความยากน้อยในการเรียนรู้และใช้งาน และสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนรู้ได้ง่าย ตัวอย่างเช่น JavaScript เป็นภาษาที่เป็นที่นิยมในการพัฒนาเว็บไซต์ เนื่องจากสามารถใช้ในทั้ง Front End และ Back End ของเว็บไซต์ได้อย่างยืดหยุ่น แต่ก็มีความซับซ้อนในการใช้งานบางอย่าง ในขณะที่ Python เป็นภาษาที่มี Syntax ที่เข้าใจง่ายและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นในการเรียนรู้

ภาษา JavaScript เป็นภาษาโปรแกรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน Web Development โดยสามารถใช้ในการพัฒนาทั้ง Front End และ Back End ซึ่งถือเป็นข้อดี แต่การใช้งานมันก็มีความยากเนื่องจากต้องใช้เข้าใจในการเขียนโค้ด และมักจะยากกว่า Python แต่ไม่ได้ยากมาก

นอกจากนี้ การศึกษาภาษาโปรแกรมอื่น ๆ นอกเหนือจาก Programing Language เช่น HTML และ CSS ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากเป็นภาษาที่ใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจและฝึกฝนทักษะในการพัฒนาเว็บไซต์ได้อย่างเหมาะสม

  • ภาษาโปรแกรม JavaScript เป็นภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน Web Development
  • ภาษาโปรแกรม JavaScript สามารถใช้งานได้ทั้งในส่วนของ Front End และ Back End ของเว็บไซต์

ภาษาโปรแกรม Python เป็นทางเลือกที่เหมาะสมและดีเพื่อเริ่มต้นการเรียนรู้ในโลกของการเขียนโปรแกรม โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นเข้าสู่การเรียนรู้ภาษาโปรแกรมมิ่งครั้งแรก ซึ่ง Python เป็น High Level Language ที่มีความเข้าใจง่ายและมี Syntax ที่ถูกออกแบบมาให้เรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งทำให้ผู้เรียนสามารถเริ่มต้นทดลองเขียนโปรแกรมได้โดยไม่มีความยากลำบาก

  • การศึกษาภาษาโปรแกรม Python เป็นทางเลือกที่เหมาะสมและดีเพื่อเริ่มต้นการเรียนรู้ในโลกของการเขียนโปรแกรม
  • Python เป็น High Level Language ที่มีความเข้าใจง่ายและมี Syntax ที่ถูกออกแบบมาให้เรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย

เส้นทางการเรียนที่เราแนะนำ

เรามุ่งเน้นการเรียนรู้ในเส้นทางที่เข้าใจง่ายและเป็นระบบ เริ่มต้นด้วย HTML/CSS เป็นการที่เราจะสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเว็บไซต์ โดย HTML เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเว็บ และ CSS เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตกแต่งหน้าเว็บ บทเรียนนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดีเพื่อให้เข้าใจถึงการสร้างและดีไซน์เว็บไซต์อย่างง่ายและเข้าใจง่ายที่สุด

ซึ่งหลังจากนั้นเราจะโฟกัสที่ JavaScript ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพและปรับได้ต่อผู้ใช้ การเรียนรู้ JavaScript จะช่วยให้เราสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ทั้งใน Front end และ Back end ซึ่งเป็นส่วนสำคัญและจำเป็นที่สุดในการพัฒนาเว็บไซต์

มากกกว่านั้นเราจะเรียนรู้เกี่ยวกับ Front end framework เช่น Angular React และ Vue.js เพื่อลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาเว็บไซต์ และเป็นส่วนที่สำคัญที่จะเปิดโอกาสให้สร้างเว็บไซต์ที่ทันสมัยและปลอดภัยมากขึ้น

เมื่อเราเรียนรู้และพัฒนา Front end ให้เพียงพอแล้ว เราจะแนะนำให้คุณสมัครงานในสายงาน Front end development เพื่อนำความรู้และทักษะที่ได้รับไปใช้ในโลกการทำงานจริง โดยหลังจากนั้นคุณจะเรียนรู้เกี่ยวกับ Back end development ต่อไปโดยเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบฐานข้อมูล และการดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลออกมา เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของฝั่ง Back end ของเว็บไซต์ที่ครบวงจร

สุดท้ายเราอยากแนะนำให้คุณเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Deploy หรือการนำเว็บไซต์ไปใช้งานจริงบนอินเทอร์เน็ต เพื่อให้เราสามารถแสดงผลและใช้งานเว็บไซต์ของเราได้จริงๆ และเพื่อให้เราได้รับประสบการณ์จริงในการทำงานกับเว็บไซต์ที่เราสร้างขึ้น

  • เริ่มเรียน HTML/CSS เพื่อสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเว็บไซต์
  • ทำความเข้าใจใน JavaScript เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ใน Front end และ Back end
  • สมัครงานในสายงาน Front end development หลังจากเรียนจบ
  • เรียน Back end development และการ Deploy เว็บไซต์เพื่อประสบการณ์ในการทำงานจริง

Career Path สายงาน Dev

ในสายงานSoftware Development (Dev) ในโลกของการทำงานจริง Career Path หรือตำแหน่งงานมักเป็นเพียง Job Role เท่านั้น เนื่องจากบริบทและการทำงานของแต่ละบริษัทมีความแตกต่างกันไป โดยเริ่มจากตำแหน่ง Junior ซึ่งเป็นตำแหน่งแรกๆ ที่ทุกคนต้องเผชิญหน้า เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและมีความกระตือรือร้นในการทำงาน อย่างไรก็ตามบางบริษัทอาจไม่ใช้คำว่า Junior แต่มักมีการกำหนดระดับต่าง ๆ หรือคำเรียกชื่อตำแหน่งนั้นๆได้บริษัทโดยเฉพาะ

ซึ่งถัดมาจะเป็นระดับ Intermediate ซึ่งในระดับนี้คุณจะมีความรู้และประสบการณ์ในระดับหนึ่งๆ สามารถเข้าใจการทำงานของ Software Developper ได้แล้ว แต่ในระดับนี้จะไม่มีการเรียกอย่างชัดเจน ในชื่อตำแหน่งซึ่งบางบริษัทจะเรียกว่า Junior เช่นเดียวกัน

Senior นั้นมักแสดงถึงความชำนาญและความเชี่ยวชาญในงาน โดยพวกเขามักจะมีความสามารถในการให้คำปรึกษาและเป็นที่ตั้งของความรู้ การทำงานในตำแหน่ง Senior มักมีลักษณะที่หลากหลายตามแต่ละบริษัท บางครั้งอาจเน้นการเทรนและดูแล Junior Developer เพื่อช่วยในการพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญของพวกเขา ในขณะที่บริษัทอื่นๆ อาจมุ่งเน้นให้ Senior Developer เป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่ซับซ้อน หรือการนำเสนอแนวคิดและโซลูชันใหม่ๆ ในโครงการที่ซับซ้อน

เมื่อเป็นตำแหน่ง Senior นั้นจะเป็นเวลาที่สำคัญในการตัดสินใจเส้นทางการพัฒนาต่อไปของตนเอง โดยมีทางเลือกสองทางหลักคือการเน้นทักษะเทคนิค (Tech focused) หรือการบริหารคน (People focused) การเลือกเส้นทางดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับความสนใจและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล หากเลือกเส้นทาง Tech focused ผู้เชี่ยวชาญจะเน้นการพัฒนาทักษะเทคนิคและความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำงานในตำแหน่งที่ต้องการความชำนาญในด้านเทคโนโลยี ในขณะที่เส้นทาง People focused จะเน้นการพัฒนาทักษะในการบริหารและสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ โดยการช่วยเสริมสร้างทักษะการนำทีมและการแก้ไขปัญหาระหว่างบุคคลที่ทำงานในทีม

สุดท้าย ชื่อตำแหน่งมีนัยสำคัญเพียงเล็กน้อย เนื่องจากสิ่งสำคัญที่สุดคือการพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ การทำงานร่วมกับทีม หรือการเรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานของตนเองและผู้อื่น ชื่อตำแหน่งเป็นแค่จุดเริ่มต้นในการพัฒนาอาชีพของคุณเท่านั้น

  • ในสายงาน Software Developper(Dev) ตำแหน่งงานมักเป็นเพียง Job Role เนื่องจากบริบทและการทำงานของแต่ละบริษัทมีความแตกต่างกันไป
  • ชื่อตำแหน่งเป็นแค่จุดเริ่มต้นในการพัฒนาอาชีพ สิ่งสำคัญคือการพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นทุกวัน

Tip #1: เรียนรู้วิธีการเรียนด้วยตนเอง

เมื่อเข้าสู่สายงานด้านเทคโนโลยี ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมีอย่างมาก การเรียนรู้ตลอดเวลากลับเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการประสบความสำเร็จในสายงานนี้ การทำงานจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่การจำความรู้ แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะนำความรู้ไปปรับใช้ในสถานการณ์จริง

ในสายงานด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ (Dev) ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในงานจริงและความสามารถในการแก้ปัญหาโดยการหาทางแก้ไขเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นั่นหมายถึงความจำเป็นที่จะต้องรับมือกับความท้าทายและปัญหาที่เกิดขึ้น การเรียนรู้ด้วยตัวเองจึงเป็นเครื่องมือที่จำเป็นที่สุด

การเรียนรู้ไม่เพียงแค่การเรียนจากหนังสือหรือคอร์สออนไลน์ แต่ยังควรฝึกฝนทักษะในการวิจัยและการค้นหาข้อมูลเอง เช่น การค้นหาวิธีแก้ปัญหา (troubleshooting) หรือการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่องในสายงานที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความหลากหลายในโลกดิจิทัลซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

  • เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้ตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญ
  • การทำงานในสายงาน Dev ไม่ใช่แค่การจำความรู้ แต่เป็นการแก้ปัญหาและนำความรู้ไปปรับใช้
  • ความเข้าใจในงานจริงและการหาทางแก้ไขปัญหาเป็นสำคัญ
  • การเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นเครื่องมือที่จำเป็น
  • ฝึกฝนทักษะในการวิจัยและค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เช่น การค้นหาวิธีแก้ปัญหาและข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยี

Tip #2: อย่าให้ความสนใจกับ JD มากเกินไป!

การดู Job Description (JD) ไม่ใช่แค่การตรวจสอบว่าเรามีความสามารถตรงตามที่บริษัทต้องการหรือไม่ โดย Job Description เป็นเพียงเครื่องมือในการเข้าใจบทบาทงานและความคาดหวังที่คณะกรรมการต้องการจากผู้สมัคร 

สำหรับสายงานทางเทคโนโลยี เราไม่จำเป็นต้องมองหา Job Description (JD) ที่ตรงกับทุกสกิลหรือความรู้ที่เรามีอยู่ การใช้ทักษะที่เรามีอยู่ในการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็สำคัญเช่นกัน บางครั้ง เราอาจมีสิ่งที่บริษัทต้องการเพียงบางส่วน แต่ก็ยังสามารถสมัครงานได้ ไม่จำเป็นต้องมีทุกความสามารถหรือประสบการณ์ที่ระบุใน JD ก่อนที่จะสมัครงาน 

คุณสมบัติและประสบการณ์เป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้ตลอดเวลา การมีความสามารถในหนึ่งหรือสองด้านสำคัญก็อาจเพียงพอสำหรับการได้งาน ซึ่งการได้งานมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อผลการสมัครงาน เช่น ประสบการณ์ทำงานที่มีความเกี่ยวข้องกับงานที่สมัคร ความเข้าใจในบริบทของบริษัท และความสอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร 

การที่ Tech Stack ไม่ตรงกับที่เรามีอาจไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้งาน หลายบริษัทอาจเปิดโอกาสให้ผู้สมัครมีโอกาสเรียนรู้และปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่บริษัทใช้อยู่ การมีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้ใหม่เป็นสิ่งที่มีความคุ้มค่าในการสมัครงาน 

  • การดู Job Description (JD) ไม่ใช่แค่การตรวจสอบว่าเรามีความสามารถตรงตามที่บริษัทต้องการหรือไม่ 
  • สำหรับสายงานทางเทคโนโลยี เราไม่จำเป็นต้องมองหา Job Description (JD) ที่ตรงกับทุกสกิลหรือความรู้ที่เรามีอยู่ 
  • คุณสมบัติและประสบการณ์เป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้ตลอดเวลา 
  • การได้งานมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อผลการสมัครงาน 
  • Tech Stack ไม่ตรงกับที่เรามีอาจไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้งาน

Tip #3: อย่ากลัวที่จะถาม!

อย่ากลัวที่จะถามหรือเรียกร้องความช่วยเหลือเมื่อเผชิญกับปัญหาในการทำงานหรือการเรียน เป็นสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาตนเองและเติบโตในอาชีพ การกล้าที่จะถามหรือคุยเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับเมนเทอร์หรือคนรอบข้าง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเริ่มถามเราควรลองค้นหาข้อมูลและแก้ไขปัญหาด้วยตนเองก่อนเพราะในโลกของการทำงานจริงเราต้องแก้ไขปัญหาด้วยตนเองก่อนอย่างเเรก หากยังไม่พบคำตอบที่แท้จริง ค่อยๆ พิจารณาที่จะพูดคุยกับเมนเทอร์หรือคนรอบข้าง

การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กับเพื่อนร่วมงานเป็นวิธีที่ดีในการเรียนรู้และเติบโตในอาชีพ เพราะบางครั้งพวกเขาอาจมีประสบการณ์หรือวิธีการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน และสามารถมอบคำแนะนำที่มีค่าให้เราได้

ในขณะที่เรียน WeStride เราให้บริการเมนเทอร์ที่พร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนตลอดเวลา เพื่อช่วยให้นักเรียนและนักศึกษาได้รับความรู้และประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความสำเร็จในอนาคต โดยจะได้รับการดูแลหลากหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็น Office Hour หรือ Community ของเรา 

อีกทางหนึ่งที่สามารถหาคำตอบหรือไอเดียใหม่ๆ ได้คือการเข้าร่วมกลุ่ม Community ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสายงานหรือสนใจ เช่นกลุ่ม Facebook  LinkedIn  เป็นต้น ซึ่งเป็นที่ที่คุณสามารถโพสต์คำถามหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้และมักจะได้รับการตอบกลับหรือคำแนะนำจากสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มได้ในทันที

  • อย่ากลัวที่จะถามหรือเรียกร้องความช่วยเหลือเมื่อเผชิญกับปัญหาในการทำงานหรือการเรียน
  • การกล้าถามหรือคุยเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการแสดงความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
  • การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กับเพื่อนร่วมงานเป็นวิธีที่ดีในการเรียนรู้และเติบโตในอาชีพ
  • เข้าร่วมกลุ่ม Community ต่างๆ เพื่อโพสต์คำถามหาคำตอบหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้

วิธีสร้างโปรเจกต์พอร์ตโฟลิโอที่ดี

การสร้างโปรเจกต์พอร์ตโฟลิโอที่มีคุณภาพสูงมีขั้นตอนที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึงอย่างละเอียด เริ่มแรกคือการให้ความสำคัญกับคุณภาพของโปรเจกต์ ควรเน้นการเลือกโปรเจกต์ที่สามารถสะท้อนศักยภาพและความสามารถของเราได้อย่างชัดเจน ความคุ้มค่าของโปรเจกต์นั้นมาจากคุณภาพและความคาดหวังที่มีให้กับผู้ที่จะดู

การแสดงความสามารถผ่านโปรเจกต์เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญ โปรเจกต์ในพอร์ตโฟลิโอควรเป็นการแสดงความสามารถและความเชี่ยวชาญของเราในงานต่าง ๆ ที่เราเคยทำมา การแสดงความสามารถที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้ที่ต้องการรับบริการหรือเข้าใจเราได้มากขึ้น

นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ (UX/UI) ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึง แม้ไม่จำเป็นต้องสวยมาก แต่ควรให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้และการออกแบบที่ไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่พอใจ เพื่อให้โปรเจกต์ของเรามีความน่าสนใจและเข้าใจได้ง่ายขึ้น

สุดท้ายคือการเริ่มต้นโปรเจกต์จากสิ่งที่เราชื่นชอบ เลือกทำโปรเจกต์ที่มีความสนใจและเชื่อมโยงกับความสามารถและความถนัดของเรา เนื่องจากความชื่นชอบจะช่วยเรามีความกระตือรือร้นในการทำงานและสามารถนำเสนอผลงานที่ดีได้อย่างมั่นใจและน่าสนใจ

การสร้างโปรเจกต์พอร์ตโฟลิโอที่ดีมีขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้

  • ให้ความสำคัญกับคุณภาพของโปรเจกต์
  • แสดงความสามารถผ่านโปรเจกต์ในพอร์ตโฟลิโอ
  • ใส่ใจ UX/UI
  • สร้างเอกลักษณ์และสะท้อนตัวตน
  • เริ่มต้นจากสิ่งที่ชื่นชอบ

ไม่มั่นใจว่าจะเลือกเส้นทางอาชีพไหนดี
ที่ปรึกษาของเราพร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพที่มีศักยภาพต่างๆ และตอบทุกคำถามของคุณ คุณสามารถพูดคุยกับที่ปรึกษาของเราได้ฟรี
พูดคุยกับที่ปรึกษาของเรา